เมนู

มิคราชา ถูกจับขังไว้ แม้ในกรงทองก็ไม่ยินดี, แต่ย่อมยินดีใน
หิมวันตประเทศอันกว้างใหญ่ถึง 3,000 โยชน์ ฉันใด, สีหะคือพระ-
โยคีบุคคลแม้นี้ ย่อมไม่ยินดีแม้ในสุคติภพทั้ง 3 แต่ย่อมยินดีในอนุ-
ปัสสนา 3 เท่านั้น
อนึ่ง เหมือนพญาช้างฉัททันต์ เผือกผ่องทั้งตัวมีที่ตั้งดี 7 สถาน
มีฤทธิ เหาะไปในเวหาส ย่อมไม่ยินดีในใจกลางพระนคร, แต่ย่อม
ยินดีในสระใหญ่ชื่อฉัททันต์เท่านั้น ฉันใด, พระโยคีบุคคลเพียงดัง
ช้างตัวประเสริฐนี้ ย่อมไม่ยินดีในสังขารธรรมแม้ทั้งปวง, แต่ย่อมยินดี
ในสันติบทคือพระนิพพานเท่านั้น อันเท่าแสดงแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า
การไม่เกิดขึ้น เป็นการปลอดภัย1, มีใจน้อยไปโน้มไปเงื้อมไปใน
สันติบทคือพระนิพพานนั้น. นิพพิทานุปัสสนาญาณย่อมเป็นอันเกิดขึ้น
แล้วแก่พระโยคีนั้น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ด้วยประการฉะนี้.

9. อรรถกถาสังขารุเปกขาญาณุทเทส


ว่าด้วย สังขารุเปกขาณาณ


คำว่า มุญฺจิตุกมฺยตาปฏิสงฺขาสนฺติฏฺฐนา ปญฺญา สงฺขารุ-
เปกฺขาสุ ญาณํ
ความว่า พระโยคีบุคคลใด มีความประสงค์คือ
1. ขุ.ป. 31/115.

ปรารถนาเพื่อจะพ้นเพื่อจะสละ ฉะนั้น พระโยคีบุคคลนั้น จึงชื่อว่า
มุญฺจิตุกมฺโย แปลว่า ผู้ใคร่จะพ้น, ความเป็นผู้ใคร่จะพ้น ชื่อว่า
มุญฺจิตุกมฺยตา,
ปัญญาใด ย่อมพิจารณา ย่อมใคร่ครวญ ฉะนั้น ปัญญานั้น
จึงชื่อว่า ปฏิสงฺขา, อีกอย่างหนึ่ง การไตร่ตรอง ชื่อว่า ปฏิสงฺขา,
ปัญญาใด ย่อมตกลง ย่อมวางเฉยเสียได้ ฉะนั้น ปัญญานั้น
ชื่อว่า สนฺติฏฺฐนา แปลว่า วางเฉย, อีกอย่างหนึ่ง ๆ การวางเฉย
ชื่อว่า สนฺติฏฺฐนา,
ปัญญาชื่อว่า มุญฺจิตุกมฺยตานั้นด้วย ปฏิสงฺขาด้วย สนฺติฏฺ-
ฐนา
ด้วย ฉะนั้น จึงชื่อว่า มุญิจิตุกมฺยตาปฏิสงฺขาสนฺติฏฺฐนา
แปลว่า ความใคร่จะพ้น, การพิจารณา, และการวางเฉย.
ความเป็นผู้ใคร่จะสลัดเสียซึ่งความเกิดเป็นต้น ของพระโยคี
บุคคลผู้เบื่อหน่ายด้วยนิพพิทาญาณ ในเบื้องต้น ชื่อมุญจิตุกัมยตา,
การใคร่ครวญสังขารทั้งหลายที่พิจารณาแล้ว เพื่อทำอุบายแห่ง
การละในท่ามกลาง ชื่อปฏิสังขา,
การปล่อยวาง แล้ววางเฉยได้ในที่สุด ชื่อสันติฏฐนา.
ปัญญา 3 ประการโดยประเภทแห่งการกำหนดอย่างนี้ ชื่อว่า
ความรู้ในการพิจารณาสังขารทั้งหลาย. ก็พระโยคีบุคคลผู้ปรารถนา

ความเข้าไปวางเฉยในสังขาร ด้วยปัญญาแม้ทั้ง 3 ต่างด้วยประเภท
การกำหนดกล่าวคือ
1. มุญจิตุกัมยตา ปรารถนาจะพ้นการเกิดเป็นต้น
2. ปฏิสังขา พิจารณาสังขารทั้งหลาย
3. สันติฏฐนา วางเฉยในสังขารทั้งหลาย
คำว่า ปญฺญา และคำว่า สงฺขารุเปกฺขาสุ ท่านทำเป็น
พหุวจนะไว้, คำว่า ญาณํ พึงทราบว่า ท่านทำไว้เป็นเอกวจนะ
เพราะแม้จะต่างกันโดยประเภทแห่งการกำหนดก็เป็นอย่างเดียวกัน.
สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า ธรรม
เหล่านี้ คือ มุญจิตุกัมยตา, ปฏิสังขานุปัสสนา และปฏิสังขารุเปกขา
มีเนื้อความเป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.1 แต่อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า คำว่า สงฺขารุเปกฺขาสุ นี้ เป็นพหุวจนะ เพราะ
สังขารุเปกขาเป็นของมากด้วยสามารถแห่งสมถะและวิปัสสนา ดังนี้
ก็มี. ก็คำว่า สงฺขารุเปกฺขาสุ ในการเพ่งสังขารทั้งหลาย พึงทราบ
ว่า เพ่งการกระทำ.
แต่จิตของพระโยคีบุคคลผู้เบื่อหน่ายอยู่ ระย่ออยู่ด้วยนิพพิทา-
ญาณนั้นด้วยประเภทแห่งการกำหนด ย่อมไม่ติด ย่อมไม่ข้อง ย่อม
1. ขุ.ป. 31/508.

ไม่เกี่ยวอยู่ในสังขารทั้งหลายทุกประเภท อันอยู่ในภพ, กำเนิด, คติ,
วิญญาณฐิติ, และสัตตาวาสทั้งปวง, จิตนั้นก็ใคร่ที่จะพ้น ใคร่ที่จะ
สลัดทิ้งสัพพสังขารทั้งหมด.
อีกอย่างหนึ่ง เสมือนปลาที่ติดอยู่ในข่าย, กบที่อยู่ในปากงู,
ไก่ป่าที่ถูกขังอยู่ในกรง, มฤคที่ติดบ่วงแน่น, งูที่อยู่ในกำมือของหมองู,
ช่างที่แล่นไปตกหล่มใหญ่. นาคราชอยู่ในปากของครุฑ, พระจันทร์
ที่เข้าไปอยู่ในปากของราหู, บุรุษถูกศัตรูล้อมไว้ เหล่านี้เป็นต้น ล้วน
เป็นผู้ใคร่เพื่อจะพ้นเพื่อจะหลุดรอดไปจากพันธนาการนั้น ๆ ด้วยกันทั้ง
สิ้น ฉันใด, จิตของพระโยคีบุคคลนั้น. ย่อมใคร่ที่จะพ้น ใคร่ที่จะ
หลุดรอดจากสังขารทั้งปวง ก็ฉันนั้น. ก็เมื่อกล่าวอยู่อย่างนี้ พระปาฐะ
ว่า มุญฺจิตุกามสฺส มุญฺจิตุกมฺยตา แปลว่า ความใคร่ที่จะพ้น
ของพระโยคีบุคคลผู้ใคร่จะพ้น
ก็ย่อมถูกต้อง. เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็
พึงกล่าวได้ว่า ในบทว่า อุปฺปาทํ มุญฺจิตุกมฺยตา เป็นต้น ก็
ควรเป็น อุปฺปาทา มุญฺจิตุกมฺยตา เป็นต้น, เพราะฉะนั้น
เนื้อความก่อนนั่นแหละดีกว่า.
ก็แล มุญจิตุกัมยตาญาณ ย่อมเกิดแก่พระโยคีบุคคลนั้นผู้ทอด
อาลัยในสังขารทั้งปวง ผู้ใคร่จะพ้นจากสังขารทั้งปวง. พระโยคีบุคคล
เป็นผู้ใคร่จะพ้นสังขารทุกประเภทบรรดามี ในภพกำเนิดคติวิญญาณฐิติ
และสัตตาวาสทั้งปวง จึงยกสังขารเหล่านั้นขึ้นสู่พระไตรลักษณ์อีก

เพื่อจะทำอุบายแห่งการพ้นให้สำเร็จ แล้วจึงเห็นแจ้งด้วยปฏิสังขานุ-
ปัสสนาญาณ.
ก็เมื่อพระโยคีบุคคลนั้นเห็นแจ้งอยู่อย่างนี้แล ปฏิสังขาญาณ
เป็นนิมิตด้วยอนิจลักษณะ ย่อมเกิดขึ้น, ปฏิสังขาญาณอันเป็นไป
ด้วยทุกขลักษณะ ย่อมเกิดขึ้น, และปฏิสังขาญาณเป็นนิมิตและเป็น
ไปแล้วด้วยอนัตตลักษณะ ก็ย่อมเกิด.
พระโยคีบุคคลนั้นเห็นว่า สพฺเพ สงฺขารา สุญฺญา แปลว่า
สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นของว่าง ดังนี้แล้วจึงยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์
พิจารณาสังขารทั้งหลายอยู่ จึงละความกลัวและความยินดีเสียได้ก็ย่อม
วางเฉย มีตนเป็นกลางในสังขารทั้งหลาย ดุจบุรุษเห็นโทษของภริยา
แล้วทิ้งภริยาเสีย แล้ววางเฉย มีตนเป็นกลางในร่างกายของภริยานั้น,
พระโยคีบุคคลนั้น ย่อมไม่ถืออหังการว่า เรา หรือ มมังการว่า
ของเรา.
จิตของพระโยคีบุคคลนั้น เมื่อรู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างนี้ ก็ย่อม
หลีกออก ถอยกลับ หมุนกลับ ไม่ยินดีในภพทั้ง 3. เหมือนใบบัว
โอนไปหน่อยหนึ่ง หยาดน้ำทั้งหลายย่อมไหลไป ถอยกลับ หมุนกลับ
ไม่ไหลลื่นไป, หรือเหมือนขนไก่หรือเอ็นและหนัง ที่เขาใส่ในไฟ
ย่อมหลีกออก งอกลับ ม้วนกลับ ไม่คลี่ออกแม้ฉันใด; จิตของพระ-
โยคีบุคคลนั้น ย่อมหลบหลีก ถอยกลับ หมุนกลับ ไม่ยินดีในภพ

ทั้ง 3 ฉันนั้น, อุเบกขา ความวางเฉย ก็ย่อมตั้งขึ้น. สังขารุเปกขา-
ญาณ ย่อมเป็นอันเกิดขึ้นแล้วแก่พระโยคีบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้.
อนุโลมญาณกับสังขารุเปกขาญาณนี้ เป็นเหตุให้สำเร็จโคตร-
ภูญาณในเบื้องบน แม้จะมิได้กล่าวไว้ด้วยญาณต้นและญาณหลัง ก็พึง
ทราบว่า ย่อมเป็นอันกล่าวไว้แล้วทีเดียว. สมจริงดังพระดำรัสที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณา
เห็นสังขารไร ๆ โดยความเป็นของเที่ยง จักเป็นผู้
ประกอบด้วยขันติที่สมควร ข้อนั้นย่อมไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้, ไม่ประกอบด้วยขันติที่สมควร
จักก้าวลงสู่ความเป็นแห่งความเห็นชอบและความ
แน่นอน ข้อนั้นย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้, เมื่อ
ไม่ก้าวลงสู่ความเป็นแห่งความเห็นชอบและความ
แน่นอน จักกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล, สก-
ทาคามิผล, อนาคามิผล หรือ อรหัตผล ข้อนั้น
ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้1 ดังนี้เป็นต้น.

1. องฺ.ฉกก. 22/369.

และพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้กล่าวคำเป็นต้นว่า
ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการเท่าไร, ย่อมก้าวลงสู่สัม-
มัตตนิยามด้วยอาการเท่าไร.
ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ 40, ย่อมก้าวลงสู่สัมมัตต-
นิยามด้วยอาการ 401 ดังนี้.
และในปัฏฐานปกรณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดำเป็นต้นว่า
อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู ด้วยอำนาจของอนันตรปัจจัย อนุ-
โลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน ด้วยอำนาจของอนันตรปัจจัย.2
จริงอยู่ เมื่อพระโยคีบุคคลนั้น เสพอยู่ เจริญอยู่ กระทำให้
มากอยู่ ซึ่งสังขารุเปกขาญาณนั้น อธิโมกขสัทธาก็ย่อมมีกำลังยิ่ง,
วิริยะก็ประคองไว้ได้ด้วยดี, สติก็ตั้งมั่น, จิตก็เป็นสมาธิ, สังขารุเปกขา-
ญาณ ก็ย่อมเป็นไปอย่างแก่กล้า.
จิตนั้น พิจารณาสังขารทั้งหลายว่า อนิจฺจา ไม่เที่ยง,
ทุกฺขา เป็นทุกข์, หรือ อนตฺตา ไม่ใช่ตัวตนด้วยสังขารุ-
เปกขาโดยหวังว่า "มรรคจักเกิดขึ้นในบัดนี้ดังนี้ แล้วก็ลงสู่ภวังค์.
1. ขุ.ป. 31/735. 2. อภิ.ป. 40/505.

ต่อจากภวังค์ มโนทวาราวัชชนะก็เกิดขึ้นทำสังขารทั้งหลาย
โดยนัยที่สังขารุเปกขาทำแล้วนั้นแหละให้เป็นอารมณ์ว่า อนิจจา
ไม่เที่ยง, ทุกขา เป็นทุกข์ หรือ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน.
ต่อจากมโนทวาราวัชชนะนั้น ชวนจิตก็เกิดขึ้น 2 ขณะ, 3
ขณะ หรือ 4 ขณะ รับเอาสังขารทั้งหลายทำให้เป็นอารมณ์ เหมือน
อย่างนั้นนั่นแล.
ญาณอันสัมปยุตกับชวนจิตนั้น ชื่อว่าอนุโลมญาณ.
จริงอยู่ อนุโลมญาณนั้น ย่อมอนุโลมตามวิปัสสนาญาณ 8
ในเบื้องต้น เพราะเป็นกิจแห่งสัจญาณ, และอนุโลมตามโพธิปักขิย-
ธรรม 37 อันเป็นธรรมที่จะพึงบรรลุในเบื้องหน้า.
เหมือนอย่างว่า ธรรมิกราชา ประทับนั่งบนบัลลังก์เป็นที่วินิจฉัย
ทรงสดับการวินิจฉัยของอำมาตย์ผู้ฉลาดในโวหาร 8 คน แล้วทรงละ
อคติวางพระองค์เป็นกลาง อนุโมทนาว่า เป็นอย่างนั้นเถิด ย่อม
อนุโลมตามข้อวินิจฉัยของอำมาตย์ทั้ง 8 คนเหล่านั้น, และอนุโลมตาม
โบราณราชธรรม.

ในข้ออุปมานั้น อนุโลมญาณ เปรียบเหมือนพระราชา,
วิปัสสนาญาณ 8 เปรียบเหมือนมหาอำมาตย์ผู้ฉลาดในโวหาร, โพธิ-
ปักขิยธรรม 37 เปรียบเหมือนโบราณราชธรรม, พระราชาทรงอนุ-
โมทนาว่า เป็นอย่างนั้นเถิด ชื่อว่า ย่อมอนุโลมตามข้อวินิจฉัยของ
เหล่าอำมาตย์ผู้ฉลาดในโวหารด้วยตามราชธรรมด้วยฉันใด, อนุโลม-
ญาณนี้ก็ฉันเป็น ย่อมอนุโลมตามวิปัสสนาญาณ 8 ที่เกิดขึ้นปรารภ
สังขารทั้งหลายด้วยสามารถแห่งพระไตรลักษณ์ มีอนิจลักษณะเป็นต้น
เพราะเป็นกิจแห่งสัจจะ และอนุโลมตามโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ
อันเป็นธรรมที่จะพึงบรรลุในเบื้องหน้า. เพราะฉะนั้นญาณนี้ท่านจึง
เรียกว่า อนุโลมญาณ ฉะนี้แล.

10. อรรถกถาโคตรภูญาณุทเทส


ว่าด้วย โคตรภูญาณ


ในคำว่า พหิทฺธา วุฏฺฐานวิวฏฺฏเน ปญฺญา โคตฺรภูญาณํ
แปลว่า ปัญญาในการออกและหลีกไปจากสังขารนิมิตภายนอกเป็น
โคตรภูญาณ นี้มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า พหิทฺธา ได้แก่สังขารนิมิต. เพราะว่า สังขารนิมิตนั้น
ท่านกล่าวว่า พหิทฺธา - ภายนอก เพราะอาศัยอกุศลขันธ์ในจิตสันดาน